ลิเวอร์พูล ต้องพบกับความพ่ายแพ้ในลีกเป็นเกมที่ 2 หลังออกไปโดน ฟูแล่ม ดับซ่าด้วยสกอร์ 2-3 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้ “หงส์แดง” มีคะแนนนำห่าง อาร์เซน่อล 11 แต้ม และเหลือโปรแกรมแค่ 7 เกมเท่านั้น โดยแมตช์นี้ต้องยอมรับว่าเจ้าบ้านโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมมากๆ ขณะที่จ่าฝูงเล่นไม่ดีโดยเฉพาะเกมรับที่ก่อความผิดพลาดจนสร้างความเสียหายมากมาย
1. เกมรับผิดพลาด
ฟูแล่ม 3-2 ลิเวอร์พูล: สล็อต รับ “หงส์แดง” เล่นพลาดเอง เกมรับพัง-ซาลาห์ยังฝืด
สเปอร์ส ถล่ม 3-1 ส่ง เซาธ์แฮมป์ตัน ตกชั้นทีมแรก! สร้างสถิติหล่นเร็วสุดในพรีเมียร์ลีก
ฟูแล่ม 3-2 ลิเวอร์พูล: มาร์โก ซิลวา ปลื้มฟอร์มเจ้าสัว สมควรหักปีกหงส์
ต้องยอมรับว่าเกมที่คราเว่น ค็อตเทจ ทัพ “หงส์แดง” เล่นไม่ออก เพราะตั้งแต่ที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน หลังจากนั้นเจ้าบ้านครองเกมได้ตลอด แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในแมตช์นี้ก็คือเกมรับที่ย่ำแย่ของทีมเยือน
จังหวะเสียประตูแรกหลายคนอาจจะมองไปที่ เคอร์ติส โจนส์ ที่ดันดวงแตกบอลหล่นใส่ขาทำให้ ไรอัน เซสเซยง แต่หากมองให้ลึกจะเห็นว่าจังหวะก่อนหน้านั้น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดพื้นที่ว่างทำให้คู่แข่งได้เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษแบบง่ายๆ จนนำไปสู่หายนะ
หลังจากนั้น “ร็อบโบ้” ก็สร้างช็อตย่ำแย่สุดๆ ด้วยการเปิดบอลไม่ดีเข้าตรงกลาง และนำไปสู่การเสียประตูที่สองซึ่งเป็นการแฉลบเจ้าตัวด้วย แน่นอนจังหวะแบบนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เนื่องจากนักฟุตบอลอาชีพรู้อยู่เต็มอกว่าการเปิดบอลเข้ากลางถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากๆ
ขณะที่จังหวะเสียประตูที่สาม บอกเลยว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ รับไปเต็มๆ เพราะพลาดมหันต์ที่ปล่อยให้ โรดริโก้ มูนิซ ได้เล่นบอล ก่อนจะจบสกอร์ได้เด็ดขาด จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่จังหวะนี้เท่านั้น เพราะมีอีกหลายครั้งที่ กัปตันทีมชาวดัตช์ เล่นผิดพลาดเพียงแต่ไม่เสียประตูเพิ่มเท่านั้น
หลังจบเกม อาร์เน่อ สล็อต ยอมรับว่านอกจากการที่ทีมเล่นไม่ออกแล้ว ความผิดพลาดคือหายนะของทีมอย่างแท้จริงๆ ดังนั้นจุดนี้เป็นสิ่งที่ นายใหญ่ชาวดัตช์ ต้องรีบกลับไปกระตุ้นลูกทีม เพราะอีก 7 เกมพวกเขาห้ามผิดพลาดแบบนี้เด็ดขาด
2. โม ซาลาห์ เงียบกริบ
หนึ่งในสิ่งที่แฟนบอลหงส์แดงเป็นกังวลมากๆ ก็คงหนีไม่พ้นฟอร์มการเล่นของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ต้องบอกว่าน่าเป็นห่วงจริงๆ เนื่องจากเจ้าตัวไม่สามารถส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้เลย 4 แมตช์ติดต่อกัน
“บังโม” คือหนึ่งในคีย์แมนสำคัญที่นำ ลิเวอร์พูล ยึดจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่นในฤดูกาลนี้ ผลงานตะบันไป 27 ประตูกับ 17 แอสซิสต์ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเขาคือนักเตะที่ “เดอะ เร้ดส์” ขาดไม่ได้ เพราะบางเกมแม้จะเล่นไม่ดีแต่ก็สามารถที่จะเข้ามามีส่วนในการทำประตูได้บ่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ฟอร์มในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนกระทั่งเดือนล่าสุด ซาลาห์ เล่นไม่ออกจริงๆ หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็คือการที่โดนคู่แข่งจ้องประกบติดตลอดทั้งเกม ทำให้โอกาสที่เขาจะงัดฟอร์มเก่งออกมาจึงเป็นเรื่องยากมาก
กระนั้นในครึ่งหลัง การที่ ลิเวอร์พูล เร่งเครื่อง และพยายามช่วยกันเล่นมากขึ้นทำให้ ซาลาห์ มีโอกาสได้ครองบอลและสร้างความหวาดเสียวได้หลายครั้งหลายหน ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือเพื่อนร่วมทีมต้องช่วยสนับสนุน สตาร์ชาวอียิปต์ มากกว่านี้
3. ครึ่งแรก ฟูแล่ม ดุดัน
หากมองว่า ลิเวอร์พูล เล่นไม่ดีและแนวรับเล่นผิดพลาดเยอะ ในขณะเดียวกันก็ต้องยกเครดิตให้กับ ฟูแล่ม ที่เล่นเกมรุกได้ดุดันโดยเฉพาะในครึ่งแรก ซึ่งพวกเขาเป็นคนละทีมกับที่แพ้ อาร์เซน่อล ในช่วงกลางสัปดาห์เลยทีเดียว
ต้องชื่นชอบการวางแท็กติกของ มาร์โก ซิลวา ที่สร้างกดดันจ่าฝูงได้อย่างต่อเนื่องในครึ่งแรก แม้พวกเขาจะโดนยิงนำไปก่อนก็ตาม แต่ยังคงเล่นได้อย่างดุดัน และกดดัน ลิเวอร์พูล อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญพวกเขาสามารถฉกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของทีมเยือนและเปลี่ยนให้เป็นประตูได้สำเร็จ
นอกจากนี้ผู้เล่นทุกคนของ “เจ้าสัวน้อย” ควรได้รับเครดิตจากการคว้าสามคะแนนในเกมนี้ โดยเฉพาะ อันเดรียส เปเรยร่า, อเล็กซ์ อิโวบี, โรดริโก้ มูนิซ, คาลวิน บาสซี่ย์, แอนโทนี่ โรบินสัน และ แบร์นด์ เลโน่ ซึ่งโชว์เซฟสำคัญในช่วงต้นครึ่งหลังจากจังหวะการยิงของ ดีโอโก้ โชต้า
ชัยชนะในแมตช์นี้ทำให้ ฟูแล่ม เก็บเพิ่มเป็น 48 คะแนนขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 8 ทำให้มีลุ้นพื้นที่ฟุตบอลถ้วยยุโรป โดยเฉพาะโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งถ้าพวกเขารักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ต่อไป และลุ้นให้คู่แข่งบนหัวตารางสะดุด งานนี้อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
4. ตัวสำรองหงส์พลิกเกมได้ดี
ครึ่งแรกฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ถือว่าน่าผิดหวังมากๆ แต่ครึ่งหลังพวกเขาสามารถกลับมาสู่เกมได้ งานนี้ต้องชม โค้ชอาร์เน่อ ที่สามารถปรับแท็กติก และกล้าเสี่ยงในการเปลี่ยนตัวผู้เล่น เพื่อทำให้ทีมสร้างโอกาสในการทำประตูมากขึ้น
ด้วยสกอร์ที่ ฟูแล่ม นำถึง 3-1 ทำให้พวกเขาพยายามเน้นเกมรับ และรอจังหวะส่วนกลับ แต่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล ในการลุ้นทำประตู แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ “เดอะ เร้ดส์” กลับมาสู่เกมก็คือการเปลี่ยนตัวตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง
การส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, หลุยส์ ดิอาซ, คอเนอร์ แบรดลี่ย์ , เฟเดริโก้ เคียซ่า และ ดาร์วิน นูนเญซ ทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีสีสันและอันตรายมากขึ้น ที่สำคัญจังหวะที่ยิงประตู 2-3 มาจากการประสานงานอย่างยอดเยี่ยมของ แบรดลี่ย์ กับ ดิอาซ
แม้ผลการแข่งขันจะไม่เป็นใจก็ตาม แต่สิ่งที่ โค้ชอาร์เน่อ แสดงให้เห็นก็คือความกล้าและพร้อมเสี่ยงในการปรับแท็กติกเพื่อให้ทีมสร้างโอกาสในการทำประตูมากขึ้น และมันก็เกือบได้ผลจากการเล่นเกมบุกที่ดุดัน และมีลุ้นยิงประตูหลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ
5. การลุ้นแชมป์ยังไม่จบ
ความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล ทำให้ตอนนี้พวกเขามีคะแนนนำห่าง อาร์เซน่อล 11 แต้ม หลังทัพ “ปืนใหญ่” ทำคะแนนหลุดมือเช่นกันจากการที่ออกไปเสมอ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ในเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
สำหรับโอกาสในการคว้าแชมป์แน่นอนว่า “หงส์แดง” ค่อนข้างมีเปอร์เซนต์เหนือกว่า แต่กระนั้นหากมองจากผลงานในช่วงที่ผ่านมา สาวก “เดอะ ค็อป” คงรู้สึกกังวลพอสมควร เพราะทีมงัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้เลย บางแมตช์ชนะแบบหวุดหวิดด้วยซ้ำ
สิ่งสำคัญสำหรับ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ก็คือการที่พวกเขาต้องกลับมามีสมาธิกับการเล่นให้มากขึ้น ที่สำคัญทีมไม่มีโปรแกรมกลางสัปดาห์แล้ว นั่นคงจะถือเป็นเรื่องดีเพราะนักเตะจะได้มีโอกาสพักมากขึ้น หลังกรำฝึกหนักติดต่อกันมานานหลายเดือน
ช่องว่างความห่าง 11 คะแนนกับโปรแกรมที่เหลืออยู่ 7 เกม ยังถือว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ อาร์เซน่อล ต้องไม่พลาดแม้แต่เกมเดียว ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็ต้องยกระดับฟอร์มการเล่นให้ดีขึ้นกว่านี้
ทอมเม้ง
,